พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนม์มายุได้เพียง 14 พรรษา หลังจากที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 พระราชบิดา ทรงถูกถอดจากการเป็นกษัตริย์ เมื่อพระชนม์มายุได้ 17 พรรษา พระองค์ก็ทรงเป็นผู้นำในรัฐประหารโค่นล้ม
โรเจอร์ มอร์ติเมอร์ เอิร์ลแห่งมาร์ชที่ 1 ผู้เป็น
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และทรงเริ่มครองราชย์ด้วยพระองค์เอง หลังจากที่ทรงได้รับชัยชนะต่อ
ราชอาณาจักรสกอตแลนด์ ก็ทรงประกาศอ้างสิทธิ์ของพระองค์ว่าเป็นผู้สืบทอดอันชอบธรรมต่อราชบัลลังก์ฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1340 อันเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามซึ่งเรียกกันว่า
สงครามร้อยปี หลังจากที่เพลี่ยงพล้ำในระยะแรกของสงคราม สถานการณ์ก็ดีขึ้นมากสำหรับฝ่ายอังกฤษ ชัยชนะที่เครซีและปัวติเยร์ทำให้อังกฤษได้รับผลประโยชน์เป็นอย่างมากจาก
สนธิสัญญาเบรทินยี (Treaty of Brétigny) แต่ตอนปลายรัชสมัย ก็ทรงประสบกับความล้มเหลวในกิจการระหว่างประเทศและการเมืองภายใน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะความเฉื่อยชาและพระสุขภาพพลานามัยที่ทรุดโทรมลงอย่างมาก
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงมีพระอารมณ์ร้ายแต่ก็ทรงเป็นผู้มีความกรุณาเป็นอันมากเช่นกัน ทรงเป็นกษัตริย์ตามสมัยคือทรงมีความสนพระทัยทางทหารและทรงเป็นกษัตริย์ที่เป็นที่ยกย่องเป็นเวลาหลายร้อยปีต่อมา แม้ว่าต่อมาจะทรงถูกประณามว่าเป็นนักผจญภัยผู้ไร้ความรับผิดชอบโดย
นักประวัติศาสตร์วิก แต่ภาพพจน์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไปในทางดีอีกครั้งในปัจจุบัน
พระราชประวัติ
[แก้]เบื้องต้น
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสด็จพระราชสมภพที่
พระราชวังวินด์เซอร์เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1312 เมื่อยังทรงพระเยาว์ทรงพระนามว่า “เอ็ดเวิร์ดแห่งวินด์เซอร์” สมัยการปกครองของพระราชบิดา
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 เป็นสมัยที่เต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ทางทหาร ความขัดแย้งกับขุนนางผู้มีอำนาจ การฉ้อโกงของข้าราชสำนัก แต่การทรงมีรัฐทายาทที่เป็นผู้ชายในปี ค.ศ. 1312 ก็เป็นสร้างความมั่นคงให้กับราชบัลลังก์อยู่ชั่วระยะหนึ่ง
[2]เพื่อให้ความความมั่นคงยั่งยืนต่อไปพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 จึงทรงแต่งตั้งเอ็ดเวิร์ดแห่งวินด์เซอร์ขึ้นเป็น “เอิร์ลแห่งเชสเตอร์” เมื่อพระชนมายุเพียง 12 วันและอีกสองเดือนต่อมาก็พระราชทานข้าราชบริพารครบชุดสำหรับการมีราชสำนักเป็นการส่วนพระองค์ให้แก่พระราชโอรส เพื่อให้ทรงมีความอิสระในการเป็นขุนนางเต็มตัวด้วยพระองค์เองราวกับเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว
[1]
มอร์ติเมอร์ทราบว่าฐานะของตนเองออกจะไม่มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 และพระนางฟิลิปปามีพระราชโอรสพระองค์แรกเมื่อวันที่
15 มิถุนายน ค.ศ. 1330[4] มอร์ติเมอร์จึงใช้อำนาจในการนำมาซึ่งตำแหน่งขุนนางและอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่ได้มาเดิมเป็นของ
เอ็ดมันด์ ฟิทซ์แอแลน เอิร์ลแห่งอารันเดลที่ 9 (Edmund FitzAlan, 9th Earl of Arundel) ฟิทซ์แอแลน ผู้ยังจงรักภักดีต่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 ขณะที่ทรงมีความขัดแย้งกับพระราชินีอิซาเบลลาและมอร์ติเมอร์ จึงถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1326 ความโลภและความทะนงตัวของมอร์ติเมอร์ทำให้เป็นที่เกลียดชังในหมู่ขุนนางซึ่งทำให้เป็นประโยชน์ต่อสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3
ไม่นานหลังจากมีพระชนมายุได้ 18 พรรษา พระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ด้วยความช่วยเหลือของผู้ที่ทรงไว้วางใจก็ก่อรัฐประหารขึ้นที่
ปราสาทนอตติงแฮม เมื่อวันที่
19 ตุลาคม ค.ศ. 1330 โดยทรงส่งทหารเข้าไปตามทางลับซึ่งเชื่อมต่อถึงปราสาท แล้วทรงสั่งจับพระนางอิสซาเบลลาและโรเจอร์ มอร์ติเมอร์ ในพระนามของกษัตริย์ มอร์ติเมอร์ถูกส่งไปจำขังที่
หอคอยแห่งลอนดอน เขาถูกริบที่ดินและยศทั้งหมด และถูกกล่าวหาว่าถือสิทธิ์อำนาจของกษัตริย์เหนือดินแดนอังกฤษ ส่วนพระมารดา พระนางอิซาเบลลา ทรงรองขอให้โอรสของพระองค์ทรงไว้ชีวิต พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจึงทรงตัดสินประหารชีวิตมอร์ติเมอร์หนึ่งเดือนภายหลังรัฐประหาร ส่วนพระนางอิซาเบลลาทรงถูกเนรเทศไปยัง
ปราสาทไรส์ซิง เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ทรงมีอำนาจโดยพฤตินัยในฐานะผู้ปกครองอังกฤษ
[แก้]ต้นรัชสมัย
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดในภาพการล้อมเมืองเบอริค
สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะยึดดินแดนที่อังกฤษเสียไปคืน และทรงสามารถยึดเบอร์ริคคืนได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1333 พระองค์ก็ทรงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดที่
ยุทธการฮาลิดันฮิลล์ (Battle of Halidon Hill) ต่อกองทัพของยุวกษัตริย์
พระเจ้าเดวิดที่ 2 แห่งสกอตแลนด์ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจึงอยู่ในฐานะที่จะแต่งตั้งให้
เอ็ดเวิร์ด บาล์ลิโอล (Edward Balliol) ขึ้นครองราชบัลลังก์สกอตแลนด์โดยได้รับดินแดนทางใต้ของสกอตแลนด์เป็นรางวัล (โลเธียนส์, ร็อกซเบิร์กเชอร์, เบอร์วิคเชอร์, ดัมฟรีสเชอร์, แลนนาร์คเชอร์ และพีเบิลเชอร์) แม้ว่าจะทรงได้รับชัยชนะที่ดูพพลินและฮาลิดัน แต่ไม่นานนัก
โรเบิร์ต บรูซ (Robert the Bruce) ก็ยึดกลับ และภายในปี ค.ศ. 1335 การยึดครองของอังกฤษโดยบาล์ลิโอลก็อ่อนตัวลง หลังจาก
ยุทธการคัลเบรียน (Battle of Culblean)
ในปี ค.ศ. 1336
จอห์นแห่งเอลแธม เอิร์ลแห่งคอร์นวอลพระอนุชาของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ก็มาสิ้นพระชนม์ลง จอห์นแห่งฟอร์ดุนอ้างไว้ในบันทึกเจสตา (Gesta Annalia) ว่าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดปลงพระชนม์จอห์นแห่งเอลแธมหลังจากที่ทรงมีปากมีเสียงกัน
แม้ว่าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจะทรงใช้กองทัพใหญ่ในการรณรงค์ยึดดินแดนสกอตแลนด์ แต่ภายในปี ค.ศ. 1337 ดินแดนส่วนใหญ่ก็ถูกยึดกลับโดยพระเจ้าเดวิดที่ 2 แห่งสกอตแลนด์ อังกฤษจึงเหลือเพียงปราสาทอยู่ไม่กี่แห่งเช่นเอดินบะระห์ ร็อกซเบิร์ก และสเตอร์ลิง ซึ่งไม่เพียงพอที่จะใช้ในการครอบครองสกอตแลนด์ทั้งหมดได้ ฉะนั้นภายในปี ค.ศ. 1338/1339 นโยบายของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจึงเปลี่ยนจากการยึดดินแดนที่เสียไปคืนมาเป็นเพียงการรักษาดินแดนที่ยังอยู่ในมือไม่ให้เสียไปอีก
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดไม่ทรงแต่จะมีปัญหาทางสกอตแลนด์เท่านั้นแต่ยังมีปัญหาทางทางฝรั่งเศสด้วย ปัญหาทางฝรั่งเศสมีด้วยกันสามประการ ประการแรกฝรั่งเศสให้การสนับสนุนสกอตแลนด์ตาม
สัญญาพันธมิตรฝรั่งเศส-สกอตแลนด์ (Auld Alliance หรือ Franco-Scottish alliance) โดยการที่
พระเจ้าฟิลิปที่ 6 แห่งฝรั่งเศสทรงให้ความคุ้มครองแก่
พระเจ้าเดวิดที่ 2 แห่งสกอตแลนด์ผู้เสด็จมาลี้ภัย และทรงสนับสนุนสกอตแลนด์ในการโจมตีดินแดนอังกฤษทางตอนเหนือ ประการที่สองฝรั่งเศสโจมตีเมืองชายผั่งทะเลของอังกฤษหลายเมืองทำให้เกิดข่าวลือกันว่าฝรั่งเศสจะมารุกรานราชอาณาจักรอังกฤษอย่างเป็นทางการ
[5] และประการสุดท้ายดินแดนอังกฤษในฝรั่งเศสก็อยู่ในฐานะที่ไม่มั่นคงโดยที่พระเจ้าฟิลลิปที่ 6 ทรงยึดบริเวณอากีแตงและปองทู (Ponthieu) ในปี ค.ศ. 1337
แทนที่จะทรงแก้ปัญหาในทางสงบโดยการประกาศความสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดกลับทรงอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ฝรั่งเศสโดยทรงอ้างว่าทรงเป็นผู้สืบเชื้อสายชายเพียงองค์เดียวของพระอัยกาทางพระราชมารดาพระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส แต่ทางฝรั่งเศสโต้ด้วยการอ้าง
กฎหมายซาลลิค (Salic law) ซึ่งเป็นกฏการลำดับสิทธิการสืบราชบัลลังก์ที่จำกัดมิให้สตรีหรือผู้สืบเชื้อสายจากสตรีมิสิทธิในการครองบัลลังก์ฝรั่งเศส และไม่ยอมรับข้ออ้างของพระองค์ และประกาศว่าพระเจ้าฟิลิปที่ 6 เป็นพระนัดดาของพระเจ้าฟิลลิปที่ 4 ผู้ทรงเป็นรัชทายาทที่แท้จริง ข้อขัดแย้งนี้เป็นข้อหนึ่งที่นำไปสู่
สงครามร้อยปี การอ้างสิทธิของพระองค์ไม่แต่จะทรงอ้างด้วยวาจาเท่านั้น พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดยังทรงออกตราประจำพระองค์ที่ประกอบด้วยตราประจำราชอาณาจักรอังกฤษ สิงห์ และตราประจำ
ราชอาณาจักรฝรั่งเศส และตราลิลี (fleurs de lys) ก็เท่ากับว่าทรงประกาศพระองค์ว่าเป็นพระมหากษัตริย์ของทั้งสองอาณาจักร
[6]
ในการต่อสู้กับฝรั่งเศสพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงสร้างพันธมิตรกับแคว้นย่อยๆ ในฝรั่งเศสซึ่งทำให้สามารถทรงต่อสู้กับฝรั่งเศสได้โดยฉันทะ (by proxy) โดนแคว้นที่ทรงเป็นพันธมิตรด้วยต่อสู้แทนพระองค์ ในปี ค.ศ. 1338
จักรพรรดิลุดวิกที่ 4 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ผู้ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็น vicar-general ของ
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงสัญญาว่าจะสนับสนุนพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ความเป็นพันธมิตรเหล่านี้ทำให้ได้ผลบางอย่าง ที่สำคัญที่สุดคือชัยชนะของราชนาวีอังกฤษที่ยุทธการซลุส (Battle of Sluys) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1340 ซึ่งทำให้ทั้งทหารราบและทหารเรือฝรั่งเศสเสียชีวิตด้วยกันรวมทั้งสิ้น 16,000 คน
ขณะเดียวกันภายในราชอาณาจักรอังกฤษเองก็ประสบปัญหาทางการเงินจากค่าใช้จ่ายในการสงคราม และการเป็นพันธมิตรซึ่งทำให้เกิดความไม่พึงพอใจในบรรดาขุนนาง พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจึงเสด็จกลับอังกฤษโดยมิได้ทรงประกาศล่วงหน้าเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1340 เมื่อทรงมาพบว่ากิจการบ้านเมืองอยู่ในสภาพที่ยุ่งเหยิง พระองค์จึงทรงกำจัดผู้บริหารต่างๆ ออกหมด
[7] แต่ก็มิได้ทำให้สถานะการณ์มั่นคงขึ้น นอกจากว่าจะเป็นการประจันหน้ากันระหว่างพระองค์กับ
จอห์น แสตร็ทฟอร์ดอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี
ในเดีอนเมษายน ค.ศ. 1341 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงถูกรัฐสภาอังกฤษบังคับให้ยอมรับสถานะการณ์อันจำกัดทางการเงิน แต่ในเดือนตุลาคมก็ทรงละเมิดและทรงขับจอห์น แสตร็ทฟอร์ดจากราชสำนัก แต่การปฏิบัติของรัฐสภาในปี ค.ศ. 1341 ในการบังคับพระเจ้าแผ่นดินให้ทำตามคำสั่งรัฐสภาเป็นสิ่งที่นอกเหนือจากธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติกันมาก่อนหน้านั้น เพราะอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินในยุคกลางเป็นอำนาจที่ไม่มีขอบเขตและพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงใช้อำนาจนี้ในการละเมิดคำสั่ง
[8]
[แก้]ชนะสงคราม
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดและพระเจ้าฟิลิปที่ 6
หลังจากการรณรงค์บนผืนแผ่นดินใหญ่ยุโรปหลายครั้ง พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็ทรงนำทัพจำนวน 15,000 ไปนอร์มังดี ในปี ค.ศ. 1346
[9] ทรงเผาเมืองแคนก่อนที่จะเดินทัพต่อไปทางเหนือของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมก็ทรงพบกับกองทัพฝรั่งเศสในยุทธการเครซี (Battle of Crécy) ที่ทรงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ขณะเดียวกันทางอังกฤษ
วิลเลียม ซูค (William Zouche) อาร์ชบิชอปแห่งยอร์กก็รวบรวมกำลังกันต่อต้านพระเจ้าเดวิดที่ 2 แห่งสกอตแลนด์ผู้กลับมาจากฝรั่งเศส ได้รับชัยชนะและจับตัวพระเจ้าเดวิดได้ที่
ยุทธการเนวิลล์ครอส (Battle of Neville's Cross) เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม เมื่อพรมแดนทางเหนือมีความมั่นคงขึ้น พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็ทรงต่อสู้กับฝรั่งเศสได้อย่างเต็มที่ ทรงล้อมเมือง
คาเลส์ (Calais) จนเสียเมืองเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1347
ในปี ค.ศ. 1348 ก็เกิด
กาฬโรคระบาดในยุโรปซึ่งทำให้อังกฤษเสียประชากรไปหนึ่งในสาม
[10] การสูญเสียประชากรครั้งนี้หมายถึงการสูญเสียทั้งทางกำลังคนและกำลังทรัพย์ ซึ่งทำให้ไม่ทรงสามารถดำเนินสงครามต่อได้ นอกจากนั้นก็ยังทำให้เกิดภาวะค่าแรงงานที่สูงขึ้นที่ทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงพยายามควบคุมโดยการออก
พระราชบัญญัติแรงงาน ค.ศ. 1349 (Ordinance of Labourers) และ
พระราชบัญญัติแรงงาน ค.ศ. 1351 (Statute of Labourers of 1351) เพื่อการจัดระบบและควบคุมค่าแรงงาน แต่ถึงแม้ว่ากาฬโรคจะคร่าชีวิตคนไปเป็นจำนวนมากแต่ก็มิได้นำไปสู่ความหายนะของรัฐบาลหรือสังคม นอกจากนั้นการฟื้นตัวก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว
[11]
ในปี ค.ศ. 1356 ขณะที่ทรงต่อสู้ในสงครามอยู่ทางเหนือของอังกฤษ
เจ้าชายดำพระราชโอรสองค์โตก็ได้รับชัยชนะใน
ยุทธการปัวตีเยร์ (Battle of Poitiers) ในฝรั่งเศสแม้ว่ากองทัพฝรั่งเศสมีกำลังเหนือกว่า ฝ่ายอังกฤษนอกจากจะสามารถเอาชนะได้แล้วก็ยังจับตัว
พระเจ้าจอห์นที่ 2 แห่งฝรั่งเศสได้ด้วย หลังจากที่ได้รับชัยชนะต่อเนื่องกันหลายครั้งอังกฤษก็ยึดดินแดนต่างๆ ในฝรั่งเศสมามาก พระเจ้าจอห์นที่ 2 ตกอยู่ในความควบคุมของอังกฤษ รัฐบาลฝรั่งเศสก็เกือบล่ม ไม่ว่าการอ้างสิทธิของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดในราชบัลลังก์ฝรั่งเศสจะจริงแท้เท่าใดหรือเป็นเพืยงแต่ข้ออ้างในการริเริ่มสงครามก็ตาม
[12] สถานะการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้การอ้างสิทธิใกล้ความเป็นจริงขึ้น แต่การรณรงค์ต่างๆ ในปี ค.ศ. 1359 ซึ่งเป็นการรณรงค์ที่ตั้งใจจะให้เป็นการตัดสินก็ไม่ได้มีผลที่เด็ดขาด ในปี ค.ศ. 1360 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจึงทรงยอมรับ
สนธิสัญญาเบรทินยี(Treaty of Brétigny) ซึ่งเป็นการยกเลิกการอ้างสิทธิในการครองราชบัลลังก์ฝรั่งเศสของพระองค์เป็นการแลกเปลี่ยนกับดินแดนต่างๆ ที่ทรงยึดจากฝรั่งเศส
[แก้]ปลายรัชสมัย
ขณะที่รัชสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเป็นรัชสมัยที่โดยทั่วไปแล้วเป็นสมัยที่ประสบความสำเร็จ แต่ในปลายรัชสมัยเป็นช่วงระยะเวลาของความล้มเหลวในการรณรงค์ทางทหารและปัญหาการเมืองภายในราชอาณาจักร พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดไม่ทรงทรงสนพระทัยกับการปกครองวันวันหนึ่งเท่ากับการออกยุทธการ ดังนั้นในคริสต์ทศวรรษ 1360 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจึงทรงหันไปพึ่งผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์มากขึ้นทุกวันโดยเฉพาะ
วิลเลียมแห่งวิคแคม (William of Wykeham) ผู้ยังค่อนข้างเป็นมือใหม่ในด้านการบริหารผู้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นองคมนตรีตราประจำพระองค์ (Lord Privy Seal) ในปี ค.ศ. 1363 และ
อัครมหาเสนาบดี ต่อมาในปี ค.ศ. 1367 แต่วิคแคมก็สร้างปัญหาทางการเมืองเนื่องจากความขาดประสบการณ์ที่ทำให้รัฐสภาต้องบังคับให้ลาออกจากตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีในปี ค.ศ. 1371
[13]
นอกจากการลาออกของอัครมหาเสนาบดีแล้วพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็ยังสูญเสียผู้ที่ทรงไว้ใจหลายคนระหว่าง ค.ศ. 1361 ถึง ค.ศ. 1362 จากโรคระบาดที่เกิดขึ้นหลายครั้ง
วิลเลียม มองตาคิว เอิร์ลแห่งซอลสบรีที่ 1 (William Montacute, 1st Earl of Salisbury) พระสหายในการรณรงค์ในคริสต์ทศวรรษ 1330 เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1344,
วิลเลียม เดอ คลินตัน เอิร์ลแห่งฮันติงดันที่ 1 (William de Clinton, 1st Earl of Huntingdon) ผู้ที่ในการรณรงค์กับพระองค์ที่น็อตติงแฮมเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1354, เอิร์ลจากปี ค.ศ. 1337
วิลเลียม เดอ โบฮุน เอิร์ลแห่งนอร์ทแธมตันที่ 1 (William de Bohun, 1st Earl of Northampton) เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1360 และปีต่อมา
เฮนรี โกรสมอนต์ ดยุคแห่งแลงคาสเตอร์ที่ 1 (Henry of Grosmont, 1st Duke of Lancaster) ผู้ที่อาจจะถือว่าเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของพระองค์จากอาจจะด้วยโรคระบาด การสูญเสียทำให้เหลือแต่ขุนนางส่วนใหญ่ที่ยังหนุ่มผู้ที่หันไปสนับสนุนเจ้าชายรัชทายาทแทนที่จะสนับสนุนพระองค์
ขณะเดียวกันในฝรั่งเศส สิบปีหลังจาก
สนธิสัญญาเบรทินยีเป็นช่วงที่สงบสุขอยู่ระยะหนึ่ง แต่เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1364 เมื่อ
พระเจ้าจอห์นที่ 2 แห่งฝรั่งเศส เสด็จสวรรคตขณะที่ทรงถูกจำขังอยู่ในอังกฤษหลังจากที่ทรงพยายามหาทุนสำหรับค่าไถ่จากฝรั่งเศสแต่ไม่สำเร็จ การเสด็จสวรรคตของพระองค์ตามด้วยการขึ้นครองราชสมบัติของ
พระเจ้าชาร์ลที่ 5 ผู้ไปเกณฑ์ความช่วยเหลือจาก Constable of France
แบร์ทรันด์ ดู เกอสแคลง (Bertrand du Guesclin) ผู้มีความสามารถ
[15] ในปี ค.ศ. 1369
สงครามร้อยปีก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง พระราชโอรสองค์รองของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด
จอห์นแห่งกอนท์ ดยุกที่ 1แห่งแลงแคสเตอร์ก็ได้รับมอบให้มีความรับผิดชอบในการรณรงค์ต่อต้านผู้แข็งข้อแต่ไม่ทรงสำเร็จ ในที่สุดก็ต้องลงนามในสนธิสัญญาบรูดจ์สในปี ค.ศ. 1375 ซึ่งทำให้เสียดินแดนต่างๆ ของอังกฤษให้แก่ฝรั่งเศส ซึ่งทำให้ดินแดนต่างๆ ของอังกฤษในฝรั่งเศสก็ลดลงเหลือแต่เพียงเมืองคาเลส์ที่เป็นเมืองริมทะเลทางตอนเหนือสุด, บอร์โดซ์ และ เบยอนน์
[16]
ความเพลี่ยงพล้ำทางการทหารในต่างประเทศและปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการรณรงค์ทำให้เกิดความไม่พึงพอใจกันในบรรดาผู้บริหารราชอาณาจักรในอังกฤษ ปัญหาถึงจุดวิกฤติในรัฐสภาในปี ค.ศ. 1376 รัฐสภาที่เรียกตัวเองว่า “
รัฐสภาดี” (Good Parliament) รัฐสภาถูกเรียกเพื่ออนุมัติการเก็บภาษีเพิ่มแต่
สภาสามัญชนถือโอกาสอ่านคำร้องทุกข์ โดยเฉพาะคำวิพากษ์วิจารณ์โดยตรงที่มีต่อที่ปรึกษาผู้ใกล้ชิดในพระองค์
สมุหพระราชวัง (Lord Chamberlain)
วิลเลียม ลาติเมอร์ (William Latimer) และ
เจ้ากรมพระราชวัง (Lord Steward)
จอห์น เนวิลล์ บารอนเนวิลล์ เดอ ราบีย์ที่ 3 (John Neville, 3rd Baron Neville de Raby) ผู้ถูกปลดจากตำแหน่ง ส่วนพระสนมของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด
อลิซ เพร์เรอร์ (Alice Perrers) ผู้ที่รัฐสภาเห็นว่ามีอิทธิพลต่อพระองค์มากเกินไปก็ถูกห้ามไม่เข้าราชสำนัก
[17]
แต่อุปสรรคที่แท้จริงของสภาสามัญที่นำโดยกลุ่มผู้มีอำนาจเช่น
เอ็ดมันด์ มอร์ติเมอร์ เอิร์ลแห่งมาร์ชที่ 3 (Edmund Mortimer, 3rd Earl of March) คือ
จอห์นแห่งกอนท์ ในขณะนั้นทั้งพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดและเจ้าชายดำต่างก็ไม่อยู่ในสภาพที่สามารถทำอะไรได้เพราะการประชวร อำนาจการปกครองทั้งหมดจึงตกอยู่ในมือของจอห์นแห่งกอนท์ผู้ที่รัฐสภาบังคับให้ยอมรับข้อเรียกร้องของรัฐสภา แต่ในปี ค.ศ. 1377 แต่ทุกอย่างที่รัฐสภาเรียกร้องก็ถูกละเมิด
[18]
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเองในขณะนั้นก็ไม่ทรงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด หลังจากราวปี ค.ศ. 1375 บทบาททางการปกครองของพระองค์ก็เป็นไปอย่างจำกัด
[19] ราววันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1376 พระองค์ก็ทรงล้มประชวรด้วย
ฝีใหญ่ หลังจากที่ทรงรู้สึกดีขึ้นอยู่ระยะหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์พระองค์ก็เสด็จสวรรคตด้วย
หลอดเลือดสมองแตก (แต่บางกระแสก็ว่าด้วย
โรคหนองใน(gonorrhea)
[20]) ที่พระราชวังริชมอนด์เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน
[21] ผู้ที่สืบราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์คือพระนัดดา
พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 พระโอรสของเจ้าชายดำผู้สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่
8 มิถุนายน ค.ศ. 1376พระเจ้าริชาร์ดขณะนั้นมีพระชนม์เพียง 10 พรรษา
[แก้]พระราชกรณียกิจ
[แก้]ด้านกฎหมาย
ในกลางรัชสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเป็นช่วงระยะเวลาสำคัญในการทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันดีคือ
พระราชบัญญัติแรงงาน ค.ศ. 1351 ที่แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่เป็นผลมาจาก
การระบาดของกาฬโรค พระราชบัญญัติกำหนดค่าแรงงานตามระดับมาตรการที่วางไว้ และกำหนดให้ขุนนางผู้เป็นเจ้าของแรงงานมีสิทธิในตัวกรรมกรก่อนที่กรรมกรจะโยกย้ายไปไหนได้ แม้ว่าทางรัฐบาลจะบังคับใช้กฎหมายแต่ก็ล้มเหลวเพราะการแก่งแย่งแรงงานระหว่างเจ้าของที่ดิน
[22] พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้รับการบรรยายว่าเป็นพระราชบัญญัติที่พยายามใช้กฎหมายที่ค้านกับกฎ “
อุปสงค์และอุปทาน” ซึ่งเป็นผลทำให้พระราชบัญญัติล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
[23] แต่กระนั้นการขาดแคลนแรงงานก็เป็นการทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มผู้เป็นเจ้าของที่ดินเป็นสองกลุ่ม ผู้เป็นเจ้าของที่ดินรายย่อยของสภาสามัญและเจ้าของที่ดินรายใหญ่ของ
สภาขุนนาง ความพยายามที่จะจำกัดสิทธิของชนชั้นแรงงานทำให้เป็นที่โกรธเคืองของฝ่ายชาวนาที่ในที่สุดก็นำไปสู่
การปฏิวัติชาวนา (English peasants' revolt 1381) ของปี ค.ศ. 1381
[24]
รัชสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดตรงกับสมัยที่
ราชสำนักพระสันตะปาปาไปตั้งอยู่ที่
อาวินยอง ระหว่างสงครามกับฝรั่งเศสทางอังกฤษก็เริ่มเกิดการก่อตัวในความเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองโดยพระสันตะปาปาที่ควบคุมโดยฝรั่งเศสที่เห็นกันว่าเป็นการปกครองที่ไม่เป็นธรรม และเป็นที่สงสัยกันว่าการเก็บภาษีอย่างหนักจากวัดต่างๆ ในอังกฤษนั้นก็เป็นการนำเงินไปใช้ในการบำรุงประเทศที่เป็นศัตรู นอกจากนั้นการใช้อำนาจของพระสันตะปาปาในการ “ประทานที่ดินชั่วชีวิต” (Benefice) โดยการทรงมอบที่ดินให้นักบวชผู้ที่มักจะเป็นชาวต่างประเทศที่มิได้มีถิ่นฐานในอังกฤษก็ยิ่งทำให้ความรู้สึก
ความเกลียดชังชาวต่างประเทศ (Xenophobia) ยิ่งรุนแรงมากขึ้นในหมู่ชาวอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1350 และปี ค.ศ. 1353 ก็ได้มีการออกพระราชบัญญัติสองฉบับที่พยายามยุติสิทธิของพระสันตะปาปาใน “การประทานที่ดินชั่วชีวิต” และจำกัดอำนาจของพระสันตะปาปาในศาลที่มีต่อประชาชนอังกฤษ
[25] แต่พระราชบัญญัติมิได้ยุติความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์อังกฤษกับพระสันตะปาปาผู้ซึ่งต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน และมิได้แยกตัวจนกระทั่งเหตุการณ์ “
ความแตกแยกของอาณาจักรสันตะปาปา” (Western Schism) ในปี ค.ศ. 1378 เท่านั้นที่ราชบัลลังก์อังกฤษแยกตัวเด็ดขาดจากอิทธิพลของอาวินยอง
กฎหมายสำคัญฉบับอื่นก็ได้แก่
พระราชบัญญัติกบฏต่อแผ่นดิน ค.ศ. 1351 (Treason Act 1351) ซึ่งสำเร็จได้เพราะบ้านเมืองอยู่ในสภาวะที่สงบสุขพอที่ฝ่ายต่างๆ จะปรองดองกันได้ถึงความหมายของอาชญากรรมอันเป็นที่ขัดแย้งกันในช่วงที่บ้านเมืองระส่ำระสาย
[26] แต่การปฏิรูปกฎหมายที่สำคัญที่สุดก็คือ
ระบบยุติธรรม (Justice of the Peace) สถาบันนี้มีมาตั้งแต่ก่อนรัชสมัยของพระองค์ แต่ในปี ค.ศ. 1350 ระบบยุติธรรมได้รับการมอบอำนาจให้ไม่แต่เพียงในการสืบสวนคดีและการจับกุมแต่ยังมีอำนาจในการพิจารณาคดีรวมทั้งคดีอาญา ซึ่งเท่ากับเป็นการวางรากฐานระบบยุติธรรมของอังกฤษ
[27]
[แก้]ด้านรัฐสภาและภาษี
รัฐสภาแห่งอังกฤษได้รับการก่อตั้งเป็นสถาบันที่มั่นคงมาแล้วในรัชสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดแต่ก็ยังมีการวิวัฒนาการในรัชสมัยของพระองค์ ในช่วงนี้สมาชิกของบารอนอังกฤษที่ไม่มีรูปแบบเท่าใดนักก่อนหน้านั้นก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นโดยที่สมาชิกเป็น
ขุนนางสืบตระกูลผู้ได้รับเรียกเข้ามาประชุมในรัฐสภา
[28] ที่ในที่สุดก็วิวัฒนาการมาเป็น
ระบบสองสภา (Bicameralism) แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดมิได้เกิดขึ้นใน
สภาขุนนางแต่ใน
สภาสามัญชน ความแตกแยกยิ่งกว้างยิ่งขึ้นในวิกฤติกาลของรัฐสภาดีเมื่อสภาสามัญชนเริ่มมีบทบาททางการเมืองที่เห็นได้ชัดที่นำไปสู่วิกฤติกาลทางการเมือง ระหว่างนั้นก็ได้มีการก่อตั้งระบบ
การฟ้องให้ขับออกจากตำแหน่ง (Impeachment) และสำนักงาน
ประธานสภาสามัญชน (Speaker of the House of Commons) ขึ้น แม้ว่าความคืบหน้าจะเป็นเพียงการชั่วคราวแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของระบบการเมืองการปกครองของอังกฤษ
อิทธิพลทางการเมืองของสภาสามัญชนเดิมอยู่ที่การอนุมัติการเก็บภาษี สงครามร้อยปีเป็นสงครามที่ต้องใช้ทุนทรัพย์เป็นจำนวนมหาศาล ทั้งทางพระมหากษัตริย์และองคมนตรีก็พยายามหาวิธีต่างๆ ในการหารายได้เพื่อมาใช้ในการสนับสนุนการสงคราม ตามปกติแล้วพระมหากษัตริย์ทรงมีรายได้ประจำจาก
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (Crown Estate) และทรงมีอำนาจในการยืมเงินจากอิตาลีและนายทุนในประเทศ แต่ความจำเป็นที่จะต้องใช้ทุนทรัพย์เป็นจำนวนมหาศาลในการทำสงครามทำให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงต้องเลี่ยงไปใช้การเก็บภาษีจากราษฎร การเก็บภาษีมีสองอย่าง:
ภาษี และ
ภาษีศุลกากร ภาษีเป็นเงินที่เรียกเก็บสำหรับสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ซึ่งเป็นจำนวนประมาณหนึ่งในสิบของทรัพย์สินของเมือง และหนึ่งในห้าของทรัพย์สินของฟาร์มซึ่งก็ทำรายได้ให้จำนวนมากแต่การเก็บภาษีแต่ละครั้ง พระองค์ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา และทรงต้องให้เหตุผลถึงความจำเป็นในการเก็บภาษี
[29] ภาษีศุลกากรเมื่อเทียบกับ
ภาษีรายได้ จึงเป็นระบบที่แน่นอนกว่า และและเป็นภาษีสมทบที่ทำรายได้ประจำที่สม่ำเสมอ การเก็บ
ภาษีศุลกากรของขนแกะที่ส่งออกเรียกเก็บกันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1275
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ทรงพยายามเพิ่มภาษีขนแกะแต่ไม่สำเร็จ ต่อมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1336 เป็นต้นมาก็ได้มีการหาวิธีต่างๆ ที่จะเพิ่มรายได้จากการส่งขนแกะออกนอก หลังจากปัญหาต่างที่เกิดขึ้นในระยะแรกแล้วในที่สุดก็ตกลงกันได้ใน
พระราชบัญญัติภาษีศุลกากรสำหรับด่านสินค้าขาออก (Statute of the Staple) ในปี ค.ศ. 1353 ว่าภาษีศุลกากรควรได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาแต่ความจริงแล้วพระราชบัญญัติเป็นพระราชบัญญัติที่บังคับใช้โดยถาวร
[30]
ภาษีที่สม่ำเสมอที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงได้รับเกิดจากการที่รัฐสภาโดยเฉพาะสภาสามัญชนที่เริ่มมีอิทธิพลทางการเมืองมากขึ้น แต่เป็นการเห็นพ้องกันว่าในการที่จะให้การเก็บภาษีเป็นไปอย่างยุติธรรมพระมหากษัตริย์ต้องทรงพิสูจน์ว่าเป็นการเก็บภาษีที่มีเหตุผลที่จำเป็นต้องเก็บ; เป็นภาษีที่เห็นควรโดยชุมชนในราชอาณาจักร และเป็นภาษีที่เก็บแล้วมีประโยชน์ต่อชุมชน นอกจากนั้นในโอกาสที่ทรงแถลงความจำเป็นในการเก็บภาษี ก็ยังไปโอกาสที่รัฐสภาใช้ในการยื่นคำร้องทุกข์ (petition) ต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับการใช้อำนาจในทางที่ผิดของข้าราชการ ซึ่งทำให้ทั้งพระมหากษัตริย์และรัฐสภาต่างก็ได้ประโยชน์จากระบบนี้ กระบวนการวิวัฒนาการนี้ทำให้สภาสามัญชนและชุมชนที่สภาเป็นตัวแทนมีความรู้ความเข้าใจในสถานะการณ์ทางการเมืองเพิ่มขึ้นและเป็นการวางรากฐานของ
ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญต่อมา
[31]
[แก้]เกียรติศักดิ์และความเป็นชาตินิยม
ตราราชการประจำพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3
หัวใจในนโยบายการปกครองของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดอยู่ที่การเข้าร่วมในสงครามของขุนนางชั้นสูงและการบริหาร ขณะที่พระราชบิดาทรงมีปัญหาขัดแย้งกับขุนนางเป็นส่วนใหญ่ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงสามารถสร้างบรรยากาศของความร่วมมือกันระหว่างพระองค์เองและขุนนางทั้งหลาย
ทั้งพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 และ ที่ 2 ทรงใช้นโยบายการจำกัดจำนวนขุนนาง โดยการแต่งตั้งขุนนางสืบตระกูลเพียงไม่กี่ตำแหน่งในระยะเวลาหกสิบปีก่อนหน้าที่สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 จะทรงขึ้นครองราชย์ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ ในปี ค.ศ. 1337 เมื่อทรงเตรียมเข้าสงครามที่จะมาถึงโดยการก่อตั้งตำแหน่ง
เอิร์ลใหม่อีกหกตำแหน่งในวันเดียว
[32] ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงเพิ่มตำแหน่งใหม่ที่สูงกว่าตำแหน่งเอิร์ลเป็นตำแหน่ง “
ดยุค” สำหรับพระญาติพระวงศ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์
นอกจากนั้นแล้วพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็ยังทรงสร้างความเป็นชุมชนในหมู่ขุนนางโดยการก่อตั้ง
เครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์ (Order of the Garter) ราวปี ค.ศ. 1348 และในปี ค.ศ. 1344 ก็ทรงมีแผนที่จะรื้อฟื้น “
ระบบขุนนางโต๊ะกลม” ของ
พระเจ้าอาร์เธอร์แต่ก็มิได้เกิดขึ้น แต่เครื่องราชอิสริยาภรณ์มีพื้นฐานมาจากตำนานโดยการใช้สัญลักษณ์วงกลมของการ์เตอร์ นักประวัติศาสตร์อังกฤษ
โพลิดอร์ เวอร์จิล (Polydore Vergil) กล่าวถึงที่มาว่า
โจนแห่งเค้นท์ (Joan of Kent) เคานเทสแห่งซอลสบรี—พระสนมคนโปรดขณะนั้น—ทำสายรัดถุงเท้า (Garter) หลุดลงมาโดยอุบัติเหตุที่งานเลี้ยงที่คาเลส์ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจึงทรงช่วยแก้หน้าจากฝูงชนที่เยาะหยันโดยทรงผูกสายรัดรอบพระเพลาของพระองค์เอง เครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์จึงมีรูปสายรัดถุงเท้าที่มีคำจารึกว่า “honi soit qui mal y pense”—ความละอายใจจงเป็นของผู้คิดมิดี
[33]
การเน้นความเป็นผู้ดีมีศักดิ์ศรีเป็นปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับการสงครามกับฝรั่งเศสเพราะเป็นการเริ่มความคิดของ “ความเป็นชาติ” เช่นเดียวกับเมื่อมีสงครามกับสกอตแลนด์ ความกลัวการรุกรานของฝรั่งเศสยิ่งทำให้ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันรุนแรงยิ่งขึ้น และทำให้เกิดความรู้สึกเป็นอังกฤษขึ้นในบรรดาขุนนางที่เคยเป็นชาวอังกฤษ-ฝรั่งเศสมาตั้งแต่สมัยที่ชาว
นอร์มันได้รับชัยชนะต่ออังกฤษ ตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ก็มีความเชื่อกันอย่างแพร่หลายว่าฝรั่งเศสวางแผนที่จะกำจัด
ภาษาอังกฤษ และเช่นเดียวกับพระอัยกาสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ทรงใช้ความหวาดกลัวอันนี้ในการสนับสนุนนโบายของพระองค์
[34] ซึ่งก็ทำให้เกิดการฟื้นฟูภาษาอังกฤษกันอย่างจริงจัง ในปี ค.ศ. 1362 ก็ได้มีการออก
พระราชบัญญัติการใช้ภาษาอังกฤษในศาล (Statute of Pleading) ระบุการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการในระบบการศาล
[1] และในปีต่อมาก็เป็นปีแรกที่การเปิดประชุมรัฐสภาที่ทำเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรก
[35]ในขณะเดียวกันงานเขียนวรรณกรรมก็เพิ่มมากขึ้นเช่นในงานเขียนของ
วิลเลียม แลงแลนด์ (William Langland),
จอห์น เกาเวอร์ (John Gower) และโดยเฉพาะในวรรณกรรมสำคัญ “
ตำนานการเดินทางไปแสวงบุญที่แคนเตอร์บรี” (The Canterbury Tales) โดย
เจฟฟรีย์ ชอเซอร์
แต่
การทำให้เป็นอังกฤษ (Anglicisation) ก็ไม่ควรจะขยายความกันจนเกินเลย เพราะพระราชบัญญัติที่ออกในปี ค.ศ. 1362 ก็ยังเขียนเป็น
ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งก็ไม่มีผลในทันทีทันใด
[2] รัฐสภาเองก็ยังเปิดประชุมกันเป็นภาษาฝรั่งเศสมาจนถึง ปี ค.ศ. 1377
[36] เครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์แม้ว่าจะเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อังกฤษแต่ยังมอบให้แก่ชาวต่างประเทศเช่น
จอห์นที่ 5 ดยุคแห่งบริตานี และเซอร์โรแบร์ตแห่งนาเมอร์
[37] พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเองก็ยังเป็นผู้พูดสองภาษาและยังทรงถือพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์ที่ถูกต้องของทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส พระองค์จึงไม่ทรงสามารถแสดงความลำเอียงไปทางใดทางหนึ่งได้ตราบใดที่ทรงยังอ้างสิทธิในสองราชบัลลังก์
[แก้]พระคุณลักษณะ
ตราประจำพระองค์ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด (ตราที่ 2)
สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่นิยมแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินตั้งแต่ยังทรงพระชนม์อยู่ และแม้แต่เมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นพระองค์ก็มิได้ทรงถูกประณามว่ามีสาเหตุมาจากพระองค์โดยตรง
[38] นักบันทึกประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
ฌอง ฟรัวส์ซาร์ท (Jean Froissart) บันทึกไว้ใน “บันทึกประวัติศาสตร์ของฟรัวส์ซาร์ท” (Froissart's Chronicles) สรรเสริญพระองค์ว่า “พระมหากษัตริย์เช่นพระองค์ไม่มีมาให้เห็นมาตั้งแต่พระเจ้าอาร์เธอ”
[39] ทัศนคตินี้มีอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ก็มาเปลี่ยนแปลงไป นักประวัติศาสตร์
พรรควิกในสมัยต่อมานิยมที่จะเน้นความสนใจในเรื่องการปฏิรูปทางรัฐธรรมนูญมากกว่าที่จะสรรเสริญพระองค์ในความสามารถทางการทหาร กล่าววิจารณ์พระองค์ว่าไม่ทรงสนพระทัยในความรับผิดชอบในการปกครองบ้านเมือง ตามคำกล่าวของบาทหลวง
วิลเลียม สตับบ์ส (William Stubbs) ที่ว่า:
“ | สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ไม่ทรงเป็นรัฐบุรุษ แม้ว่าจะทรงมีคุณสมบัติที่สามารถทำให้พระองค์เป็นรัฐบุรุษผู้ประสบความสำเร็จก็ได้ พระองค์ทรงเป็นนักการสงคราม; ทรงมีความทะเยอทะยาน, ไม่ทรงมีจรรยา, ทรงมีความเห็นแก่พระองค์, ทรงมีความฟุ่มเฟือย และทรงมีพระบาทไม่ถึงพื้น ความรับผิดชอบในหน้าที่ของพระองค์เป็นเพียงผิวเผิน ไม่ทรงมีความรู้สึกว่าต้องทรงมีหน้าที่พิเศษทั้งในการรักษาทฤษฎีความเป็นประมุขสูงสุดหรือการดำเนินตามนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เช่นเดียวกับพระเจ้าริชาร์ดที่ 1 พระองค์ทรงเห็นค่าของอังกฤษเพียงเป็นแหล่งสำหรับทำรายได้เท่านั้น
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
- วิลเลียม สตับบ์ส, “ประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญของอังกฤษ”[40]
| ” |
ทัศนคตินี้มีอิทธิพลต่อมาจนกระทั่งปี ค.ศ. 1960 ในบทความ “สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 และนักประวัติศาสตร์” โดย
เมย์ แม็คคิสแซ็ค(May McKisack) ชี้ให้เห็นเหตุผลของที่มาของความเห็นของสตับบ์ส พระมหากษัตริย์ในยุคกลางไม่ได้มีความคาดหวังในหน้าที่ที่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในอนาคตของระบอบพระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐสภา หน้าที่พระมหากษัตริย์ในยุคกลางเป็นแต่เพียงการแก้ปัญหาที่ต้องเผชิญ—รักษาความมั่นคงและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อพิจารณาจากแง่มุมนี้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็ทรงเป็นผู้ประสบความสำเร็จเป็นอันมาก
[41] นอกจากนั้นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดยังทรงถูกกล่าวหาว่าทรงปรนเปรอพระราชโอรสพระองค์รองๆ โดยให้เสรีภาพมากเกินไป ที่ทำให้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกแยกกันระหว่างพระราชโอรสที่ในที่สุดก็นำมาซึ่ง
สงครามดอกกุหลาบ แต่ข้อนี้ก็ถูกปฏิเสธโดย
เคย์. บี. แม็คฟาร์เลน (K.B. McFarlane) ผู้ที่ค้านว่านโยบายนี้ไม่เป็นแต่เพียงนโยบายที่ใช้กันโดยทั่วไปในสมัยนั้นแต่ยังเป็นนโยบายที่ดีที่สุดด้วย
[42] ต่อมานักเขียนชีวประวัติของพระองค์เช่นมาร์ค ออร์มรอดและ
เอียน มอร์ติเมอร์ (Ian Mortimer) ก็ตั้งความเห็นในแนวเดียวกัน แต่ความคิดเห็นเดิมก็ไม่ได้ถูกละทิ้งกันไปทั้งหมด แม้แต่ในปี ค.ศ. 2001
นอร์มัน แคนเตอร์ (Norman Cantor) ก็ยังกล่าวถึงพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดว่าเป็น “avaricious and sadistic thug” และ “destructive and merciless force”
[43]
เท่าที่ทราบกันพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงมีพระนิสัยที่หุนหันพลันแล่นที่เห็นได้จากวิธีที่ทรงปฏิบัติต่อแสตร็ทฟอร์ดและองค์มนตรี ในปี ค.ศ. 1340-41
[44] แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็เป็นที่รู้จักกันในความมีพระมหากรุณาธิคุณ เช่นในกรณีเกี่ยวกับหลานของมอร์ติเมอร์
โรเจอร์ เดอ มอร์ติเมอร์ เอิร์ลแห่งมาร์ชที่ 2 (Roger de Mortimer, 2nd Earl of March) พระองค์ไม่เพียงแต่พระราชทานอภัยโทษให้แต่ยังทรงมอบหมายให้มีบทบาทสำคัญในสงครามกับฝรั่งเศสและในที่สุดก็พระราชทาน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์ให้ด้วย
[45]
ทางด้านศาสนาและความสนพระทัยในสิ่งต่างๆ พระองค์ก็ทรงเป็นเช่นเดียวกับผู้ร่วมสมัยโดยทั่วไป สิ่งที่ทรงโปรดคือการทำสงคราม ซึ่งก็ทรงเป็นกษัตริย์ที่เหมาะสมกับการเป็นกษัตริย์ที่ดีในยุคกลาง
[46] ในฐานะนักการสงครามพระองค์ก็ทรงประสบความสำเร็จจนนักประวัติศาสตร์การทหารสมัยใหม่บรรยายว่าทรงเป็นนายพลผู้เก่งกล้าสามารถที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ
[47] นอกจากนั้นพระองค์ก็ยังเป็นพระสวามีที่จงรักภักดีต่อพระอัครชายา
พระราชินีฟิลลิปปา ก็มีข่าวเล่าลือกันมากมายเกี่ยวกับพระจริยาวัตรในเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศแต่ก็ไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่าทรงนอกพระทัยพระชายาก่อนหน้าที่จะทรงมีความสัมพันธ์กับอลิซ เพอร์เรอร์ส และขณะนั้นพระราชินีฟิลลิปปาก็ประชวรหนักแล้ว
[48] พระองค์ไม่ทรงเหมือนพระมหากษัตริย์ในยุคกลางของอังกฤษที่ไม่ทรงมีพระโอรสธิดานอกสมรสที่เป็นที่ทราบ ความภักดีของพระองค์เผื่อแผ่ไปยังพระญาติพระวงศ์ด้วย ซึ่งตรงข้ามกับพระมหากษัตริย์องค์ที่ผ่านมาและไม่ทรงต้องประสบความเป็นปฏิปักษ์จากพระราชโอรสองค์ในห้าพระองค์ที่ทรงมี
[49]
[แก้]ในเรื่องแต่ง
สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ไม่ค่อยปรากฏในภาพยนตร์ มีก็บ้างเช่นเมื่อชาร์ลส์ เค้นท์เล่นเป็นพระองค์ในภาพยนตร์เงียบ “การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3” (ค.ศ. 1911), ไมเคิล ฮอร์นเดิร์นใน “The Dark Avenger” (ค.ศ. 1955), และเมื่อยังทรงพระเยาว์โดย
สเตฟาน คอมเบสโค ในบทละครโทรทัศน์ที่ดัดแปลงมาจากบทละครของมาร์โลว์ ใน “พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2” (ค.ศ. 1982) และโดยโจดี กราเบอร์ ใน “
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2” โดยเดเร็ค จาร์มัน (ค.ศ. 1991)
แม้จะไม่ทรงปรากฏในภาพยนตร์เองแต่ก็เป็นนัยยะว่าทรงเป็นลูกของ
อิสซาเบลลากับนักปฏิวัติสกอต
วิลเลียม วอลเลซ ในภาพยนตร์เรื่อง “Braveheart” ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะวอลเลซเสียชีวิตไปห้าปีก่อนที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจะประสูติและเป็นไปได้ยากที่วอลเลซจะเคยพบปะกับอิสซาเบลลา
[แก้]ราชตระกูล